หากคุณเคยพบกับปัญหาปลวกบุกรุกเข้ามาทำลายเฟอร์นิเจอร์ไม้ในบ้าน คุณจะรู้ว่ามันสร้างความเสียหายรุนแรงแค่ไหน จากข้อมูลของกรมป่าไม้พบว่า บ้านเรือนในประเทศไทยมีความเสียหายจากปลวกคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทต่อปี! ส่วนใหญ่เกิดจากการเลือกใช้ไม้ผิดประเภท
เมื่อพูดถึงไม้เนื้อแข็ง คือ ทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความคงทนและปลอดภัยจากปลวก ช่างไม้และผู้รับเหมามักแนะนำให้ใช้ไม้เนื้อแข็ง คือ ตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว บทความนี้จะแนะนำไม้เนื้อแข็งคุณภาพที่ปลวกไม่กิน พร้อมวิธีเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านของคุณ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับปลวกและพฤติกรรมการกินไม้
ในประเทศไทยมีปลวกมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่ที่สร้างความเสียหายหลักๆ มี 2 ประเภท คือ ปลวกใต้ดินและปลวกแห้ง ซึ่งชอบกินไม้ที่มีเซลลูโลสเป็นส่วนประกอบ
ทำไมปลวกถึงไม่กินไม้บางชนิด?
มีสาเหตุหลักๆ คือ:
- สารแทนนินและน้ำมันธรรมชาติในไม้บางชนิดมีฤทธิ์ขมและเป็นพิษต่อปลวก
- ความหนาแน่นของเนื้อไม้สูงทำให้ปลวกแทะกินยาก
- สารเคมีธรรมชาติบางชนิดในไม้เนื้อแข็งมีคุณสมบัติไล่แมลง
ไม้ที่ปลวกมักเลือกกินก่อน ได้แก่ ไม้ยางพารา ไม้สน ไม้เบญจพรรณ และไม้สักไทย ซึ่งมีเนื้อไม้นุ่ม มีความชื้นสูง และไม่มีสารป้องกันตามธรรมชาติ
คุณสมบัติของไม้เนื้อแข็งที่ต้านทานปลวก
ไม้เนื้อแข็ง คือ ไม้ที่มาจากต้นไม้ใบกว้างที่ผลัดใบช้า มีการเจริญเติบโตช้า ทำให้เนื้อไม้มีความหนาแน่นสูง เนื้อแข็ง และทนทาน ส่วนใหญ่มีน้ำหนักมาก หลายคนสงสัยว่า ไม้เนื้อแข็ง คือไม้ประเภทใดบ้าง ซึ่งตัวอย่างที่พบได้บ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ไม้สักสองพม่า ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ตะแบก และไม้เต็ง
คุณสมบัติที่ทำให้ไม้เนื้อแข็งทนต่อปลวก:
- ความหนาแน่นของเนื้อไม้สูง (มากกว่า 0.75 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร)
- มีน้ำมันธรรมชาติที่เป็นพิษต่อปลวก
- มีสารแทนนินที่ปลวกไม่ชอบ
- เนื้อไม้แน่นทำให้ปลวกเจาะทำลายได้ยาก

ไม้สัก: ราชาแห่งไม้ต้านทานปลวก
ไม้สักทองพม่าเป็นไม้เนื้อเหนียวที่มีความเสถียรสูง สีน้ำตาลทอง และที่สำคัญคือมีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยป้องกันปลวกได้อย่างดีเยี่ยม
คุณสมบัติพิเศษ:
- น้ำมันในเนื้อไม้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีสารป้องกันแมลง
- ทนต่อสภาพอากาศทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- เนื้อไม้เหนียว ไม่แตกง่าย แต่น้ำหนักเบากว่าไม้เนื้อแข็งชนิดอื่น
การนำไปใช้งาน:
- งานประตูและวงกบ: เหมาะอย่างยิ่งเพราะไม่บิดงอและทนปลวก
- งานพื้นและบันได: ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- งานเฟอร์นิเจอร์: นิยมใช้มากเพราะน้ำหนักเบา สวยงาม และทนทาน
ราคาโดยประมาณ: ไม้สักทองพม่ามีราคาประมาณ 70,000-120,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ขึ้นอยู่กับเกรดและคุณภาพ แม้ราคาจะสูง แต่คุ้มค่าในระยะยาวเนื่องจากอายุการใช้งานยาวนาน
ไม้มะค่า: ความแข็งแกร่งที่ปลวกไม่กล้าแตะ
ไม้มะค่ามีสีน้ำตาลแดงเข้ม มีลวดลายสวยงามและเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความหนาแน่นสูงมาก จัดเป็นหนึ่งในไม้ที่แข็งแรงที่สุดในประเทศไทย
คุณสมบัติพิเศษ:
- ความหนาแน่นสูงมาก ทำให้ปลวกเจาะทำลายได้ยาก
- มีสารแทนนินที่รสขมและมีฤทธิ์ไล่แมลง
- ทนต่อการบิดงอและทนความชื้นได้ดี
การนำไปใช้งาน:
- งานประตูและวงกบ: ให้ความแข็งแรงสูง เหมาะกับประตูหน้าบ้าน
- งานพื้นและบันได: ทนทานต่อการเดินและการขูดขีด
- งานภายนอก: ทนต่อสภาพอากาศและแมลงได้ดีเยี่ยม
ราคาโดยประมาณ: ไม้มะค่ามีราคา 50,000-80,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ราคาค่อนข้างสูงแต่น้อยกว่าไม้สัก เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษ
ไม้แดง: ทนทานทั้งปลวกและสภาพอากาศภายนอก
ไม้แดงมีสีแดงอมน้ำตาล มีลวดลายเรียบสวยงาม มีความแข็งแรงสูงและทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีมาก จึงนิยมใช้ในงานภายนอกอาคาร
คุณสมบัติพิเศษ:
- ทนต่อความชื้นและสภาพอากาศได้ดีเยี่ยม
- มีความหนาแน่นสูงและมีสารธรรมชาติที่ช่วยป้องกันปลวก
- เนื้อไม้ละเอียด ทำให้งานที่ต้องการความประณีตทำได้ง่าย
การนำไปใช้งาน:
- งานประตูและวงกบภายนอก: ทนทานต่อแดดและฝนได้ดี
- งานพื้นและบันไดภายนอก: สามารถใช้ในพื้นที่เปียกชื้นได้
- งานเฟอร์นิเจอร์สวน: ทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี
ราคาโดยประมาณ: ไม้แดงมีราคา 40,000-60,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าคุ้มค่าสำหรับงานภายนอกอาคารที่ต้องทนต่อสภาพอากาศ
ไม้เนื้อแข็งอื่นๆ ที่ปลวกไม่นิยมกิน
ไม้ตะแบก – เป็นไม้เนื้อแข็งปานกลาง สีขาวอมชมพู เหมาะสำหรับงานภายในอาคาร ไม่เหมาะกับงานภายนอกที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน ราคาอยู่ที่ประมาณ 35,000-45,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร
ไม้เต็ง – มีความแข็งแรงสูง ความหนาแน่นมาก ทนทานต่อปลวกได้ดี แต่การขึ้นรูปทำได้ยากกว่าไม้ชนิดอื่น เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรง ราคาประมาณ 38,000-50,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร
ไม้สะเดา – เป็นไม้เนื้อแข็งปนกลาง มีสารอะซาดิแรคติน (Azadirachtin) ซึ่งเป็นสารไล่แมลงตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับงานภายในอาคาร ราคาย่อมเยากว่าไม้ชนิดอื่น ประมาณ 25,000-35,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร
วิธีเลือกไม้เนื้อแข็งให้เหมาะกับพื้นที่การใช้งาน
การเลือกใช้งาน ไม้เนื้อแข็ง คือ ขั้นตอนสำคัญที่ต้องพิจารณาให้เหมาะกับพื้นที่และลักษณะการใช้งาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากคุณสมบัติพิเศษของไม้แต่ละชนิด
งานภายในอาคาร:
- ห้องนอนและพื้นที่พักผ่อน: ไม้สัก ไม้ตะแบก หรือไม้สะเดา เหมาะสมเพราะมีน้ำหนักเบากว่า
- ห้องครัวและห้องน้ำ: ไม้มะค่าหรือไม้แดง เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้นเพราะทนความชื้นได้ดี
งานภายนอกอาคาร:
- ระเบียงและพื้นที่รับแดดฝน: ไม้แดง ไม้สัก หรือไม้มะค่า ทนต่อสภาพอากาศได้ดี
- เฟอร์นิเจอร์สวน: ไม้สักและไม้แดงเหมาะสมที่สุด เพราะทนต่อความชื้นและแสงแดด
ปัจจัยด้านงบประมาณ:
- งบประมาณต่ำ: ไม้สะเดาหรือไม้ตะแบก เหมาะสำหรับงานภายใน
- งบประมาณปานกลาง: ไม้แดงหรือไม้เต็ง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทาน
- งบประมาณสูง: ไม้สักหรือไม้มะค่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการทั้งความสวยงามและความทนทานสูงสุด
การเลือกใช้ไม้เนื้อแข็ง คือ การลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าสำหรับบ้านของคุณ โดยเฉพาะชนิดที่ปลวกไม่กิน ไม้สัก ไม้มะค่า และไม้แดง เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่มีความทนทานสูง โดยแต่ละชนิดมีจุดเด่นและราคาแตกต่างกันไป การเลือกใช้ไม้ให้เหมาะกับพื้นที่และการใช้งานจะช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคต
พิจารณาตำแหน่งการใช้งาน สภาพแวดล้อม และงบประมาณของคุณก่อนตัดสินใจเลือกไม้ และอย่าลืมบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ไม้คงความสวยงามและทนทานไปอีกหลายสิบปี
ต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านไม้เนื้อแข็ง C&N Design คือคำตอบ
สำหรับเจ้าของบ้านมือใหม่ที่ยังสงสัยอยู่ว่าไม้เนื้อแข็ง คืออะไร แล้วไม้เนื้อแข็ง คือสิ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือไม่ แล้วไม้เนื้อแข็ง คือไม้คุณภาพที่ปลวกไม่กินหาได้จากที่ไหน ทางโรงงาน C&N Design มีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับไม้เนื้อแข็งและสำรวจพื้นที่ฟรี พร้อมแนะนำไม้ที่ทนปลวกและเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ในบ้านของคุณ ไม่ว่าจะเป็นไม้สัก ไม้มะค่า หรือไม้แดงที่กล่าวถึงในบทความ ติดต่อเข้ามาได้เลย
- โทร: 062-535-4629
- Line: @candndesign

ลูกค้ามักดูสินค้านี้เพิ่มเติม